รถไฟในยุคแรกใช้ไอน้ำเป็นตัวผลักดันลูกสูบ ใช้ฟืนหรือถ่านหินเป็นต้นกำเนิดพลังงาน ซึ่งมีปัญหาเรื่องควันและฝุ่นมาก หลังสงครามโลกครั้งที่สองหลายประเทศหันมาใชัเครื่องดีเซลซึ่งไม่ค่อยมีควันและมีแรงขับสูงมากทำใหัวิ่งได้เร็วขึ้นและลากตู้ได้มากขึ้น
ต่อมาได้มีนักวิทยาศาสตร์นำระบบพลังแม่เหล็กจากพลังไฟฟ้ามาใช้ ทำให้รถไฟไม่สัมผัสรางแต่ลอยอยู่เหนือราง ช่วยลดการสะเทือนและวิ่งได้เร็วขึ้นมาก เราเรียกว่า high speed train ซึ่งทั่วโลกตกลงให้นับ 200 กม/ชมขึ้นไปเป็น hst
เป็นที่ยอมรับกันว่า hst หรือ ชินกันเซน ของญี่ปุนและรถ TGV ของฝรั่งเศส นับเป็นระบบที่มีคุณภาพสูงมากมีหลายประเทศนำไปใช้ แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้จีนมาแรงมากสร้าง hst ได้และขยายทางรถไฟแบบ hst ไปอย่างรวดเร็วจนมีรางยาวเกินกว่าครึ่งของรางรถไฟแบบนี้ของโลกรวมกัน
- ภาพ 1,2, เป็นรถไฟดีเซล
- ภาพ 3 รถไฟฝรั่งเศส
- ภาพ 4 รถไฟเยอรมัน
- ภาพ 5 รถไฟญี่ปุ่น
- ภาพ 6 รถไฟจีน ทั้ง 3-6 เป็น high speed train หรือ hst ปัจจุบันมีกว่า 20 ประเทศที่มี hst วิ่งบริการ
- ฝรั่งเศสบริษัท SNCF รถผลิตโดย Alstom ความเร็วที่ใช้บริการ 300 และ 320 กม/ชม
- ญี่ปุ่นมีห้าบริษัท รถผลิตโดย Hitachi, Kawasaki ,Kinki Sharyo ,Nipping Sharyo ความเร็ว 260/275/285/300/320 กม/ชม
- เยอรมันมีบริษัท DB รถผลิตโดย Siemens, Krauss_Maffei, Thyssen_Hanschel เป็นต้น ความเร็ว 280/320 กม/ชม
- จีนมีบริษัท China Railway Corporation รถผลิตโดย Sinfang, Tangshun, Alstom, Kawasaki, Siemens etc ความเร็ว 250/300 ม/ชม
ประเทศอื่นที่มีรถ hst ได้แก่ สหรัฐ, อ้งกฤษ, อิตาลี, สเปน, สวิส, ฟินแลนด์, รัสเซีย, นอรเวย์, เดนมาร์ก, สวีเดน, ฮอลแลนด์, เบลเยียม, โปรตุเกส, อุซเบกิสถาน, ตุรกี, เกาหลีใต้ และไต้หวัน ประเทศเหล่านี้ส่วนมากใช้รถที่ผลิตโดยฝรั่งเศส รองลงมาเป็นเยอรมัน
*เผยแพร่ครั้งแรก 26 มิย 2558
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น