ดังนั้นรายได้หลักของรัฐไทยจากภาคอีสานคือส่วย
ใครที่ต้องเสียส่วย เฉพาะชายฉกรรจ์ที่สูงสองศอกคืบ คือ 125 ซม(วัดจากเท้าถึงไหล่). คนที่ได้รับยกเว้น คือ ภิกษุสามเณร ผู้หญิง ชายอายุตั้งแต่เจ็ดสิบปี ขุนนาง คนพิการ บัา ไบ้ ข้าทาส
อัตราที่เสียและสิ่งของที่เสีย รัฐบาลเป็นผู้กำหนด เช่นผลเร่ว ครั่งคนละ 12 กก. ขี้ผึ้ง งาช้าง 2.4 กก. ป่าน 15-30 กก. เส้นไหม 0.6 กก. ทองคำผุย(ทองคำผง) 2-3 สลึง แต่ละเมืองจะเสียอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นและเสียเท่ากันทุกปี
ระบบการเก็บแต่ละเมืองจะมี ขุนนางสี่กองรับผิดชอบคือกองเจ้าเมือง กองอุปฮาด กองราชวงศ์ และกองราชบุตร ไพร่สักกัดกองใดถึงเวลาก็นำไปส่งกองนั้น
เมื่อรวบรวมครบจำนวน พอถึงกำหนดที่ต้องส่งกรุงเทพฯ เจ้าเมืองจะมอบให้อาญาสี่คนหนึ่ง ส่วนมากมักจะเป็นราชวงศ์นำกองคาราวานส่วยไปส่งกรุงเทพฯ
เส้นทางทางบกจะใช้เกวียน หรือโคต่างบรรทุกกระทอที่สานด้วยไม้ไผ่ใส่ส่วย มุ่งตรงไปโคราช จากโคราชไปได้สองทางคือทางปากช่อง กับทางวังน้ำเขียว กบินทร์บุรี ที่กบินทร์จะเปลี่ยนกระทอเพราะเดินทางมานานมักจะชำรุด และชั่งน้ำหนักส่วยแล้วเจ้าเมืองกบินทร์จะรายงานให้สมุหนายกทราบ จากนี้จะใช้เรือล่องไปตามแม่น้ำปราจีน บางปะกง คลองแสนแสบ ปลายทางที่ กทม. ถ้าลงไปทางปากช่อง ถึงสระบุรีก็เปลี่ยนกระทอ ชั่งน้ำหนักรายงานให้สมุหนายก แล้วลงเรือไปตามแม่น้ำป่าสัก เจ้าพระยาถึง กทม.
ปัญหาสำคัญของส่วยคือการคอรัปชั่นส่วยโดยแจ้งจำนวนไพร่ต่ำกว่าความจริงมาก ซึ่งผู้เขียนได้แยกเขียนอีกบทความหนึ่งแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น